ตำนานแดนนาคาคำชะโนด


  

  คำชะโนดเมืองพญานาค / ตำนานนาคาคำชะโนด / เมืองพญานาค /หลวงปู่ศรีสุทโธ /นาคนาคี /นาคี 
        มีเรื่องเล่ากันมานานแสนนานว่า แต่ก่อนหนองกระแส หรือหนองแสซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปในเขตประเทศลาวเป็นเมืองที่พญานาคครองอยู่โดยแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่ง เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ เป็นหัวหน้าครองอยู่  อีกส่วนหนึ่งหัวหน้าผู้ครองก็เป็นพญานาคเหมือนกัน มีชื่อว่า เจ้าพ่อสุวรรณนาค มีบริวารฝ่ายละ 5,000 เท่า ๆ กัน ทั้งสองพญานาคอยู่กันด้วยความผาสุก มีความรักสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีอาหารแบ่งกันกิน มีการช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกันและเป็นเพื่อนตายกันมาตลอด

        แต่มีข้อตกลงกันอยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกไปล่าเนื้อหาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งต้องไม่ออกไปเพราะเกรงว่าหากต่างฝ่ายต่างออกไปหาอาหาร บริวารทั้งสองฝ่ายก็อาจจะเกิดการทะเลาะวิวาทรบรากันขึ้นได้
        เมื่อฝ่ายที่ออกไปหาอาหารได้เนื้อสัตว์ใดมาเป็นเหยื่อก็ให้แบ่งอาหารนั้นออกเป็นสองส่วน แบ่งกันคนละครึ่ง ข้อตกลงนี้ได้ปฏิบัติกันมาเนิ่นนานโดยไม่มีข้อขัดแย้ง แต่อยู่มาวันหนึ่งพญาศรีสุทโธ พาบริวารไพร่พลไปล่าเนื้อหาอาหาร และได้ช้างมาเป็นอาหาร จึงแบ่งเนื้อช้างพร้อมด้วยหนังและขนออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน นำไปมอบแก่พญาสุวรรณนาคครึ่งหนึ่งตามสัญญาที่มีต่อกัน ต่างฝ่ายต่างก็กินเนื้อช้างกันอย่างเอร็ดอร่อย และอิ่มหนำสำราญเพราะเนื้อช้างมีมาก

        ต่อมาวันหนึ่งพญาสุวรรณนาคได้พาบริวารไพร่พลออกไปล่าเนื้อหาอาหารได้เม่น จึงได้แบ่งเนื้อ หนัง และขนเม่นออกเป็นสองส่วนเอาไปให้พญาศรีสุทโธซึ่งมีนิดเดียวไม่พอกิน พญาศรีสุทโธไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นว่าเม่นตัวเล็กหรือตัวโตแค่ไหน แต่เมื่อเอาขนเม่นมาเทียบกับขนช้างแล้ว ขนเม่นใหญ่กว่าหลายเท่า เมื่อขนใหญ่กว่าตัวก็จะต้องใหญ่กว่าแน่นอน คิดว่าพญาสุวรรณนาคเล่นไม่ซื่อไม่ปฏิบัติตามสัญญา เวลาตัวเองจับช้างได้ก็แบ่งเนื้อไปให้กินกันอย่างเหลือเฟือ พอพญาสุวรรณนาคได้เม่นมากลับแบ่งมาให้นิดเดียว ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ จึงให้เสนาอำมาตย์นำเนื้อเม่นที่ได้รับส่วนแบ่งมาครึ่งหนึ่งเอาไปคืนให้พญาสุวรรณนาค พร้อมกับบอกไปว่า “จะไม่ขอรับส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรมจากเพื่อนที่ไม่ซื่อสัตย์”

        ฝ่ายพญาสุวรรณนาคเมื่อได้ทราบดังนั้นก็ร้อนใจ รีบเดินทางไปพบกับพญาศรีสุทโธเพื่อชี้แจงให้ทราบว่า เม่นถึงแม้จะมีขนใหญ่โต แต่ตัวของมันเล็กนิดเดียว จะเอาขนไปเทียบหรือเปรียบกับช้างไม่ได้ สัตว์แต่ละชนิดก็มีลักษณะแตกต่างกันไป ขอให้เพื่อนรับเนื้อเม่นไว้กินเป็นอาหารเสียเถิด
        แต่ไม่ว่าพญาสุวรรณนาคจะพูดอย่างไรพญาศรีสุทโธก็ไม่ยอมเชื่อ จึงเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาทั้งสองฝ่าย เหตุการณ์รุนแรงขึ้นทุกขณะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมฟังเสียงกัน ผลสุดท้ายทั้งสองฝ่ายจึงประกาศสงครามต่อกัน

        พญาศรีสุทโธซึ่งเป็นฝ่ายโกรธก่อน จึงสั่งไพร่พลรุกรบทันที พญาสุวรรณนาคก็ไม่ยอมแพ้เรียกระดมบริวาลไพร่พลเข้าต่อสู้เป็นสามารถ เล่ากันว่าพญานาคทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่นานถึง 7 ปี ต่างฝ่ายต่างเหนื่อยล้าเอาชนะกันยังไม่ได้ และต่างฝ่ายต่างพยายามจะเอาชนะให้ได้ เพื่อจะได้เป็นใหญ่ครองเมืองพญานาคทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว
        การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างนาคทั้งสองฝ่ายทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในบริเวณหนองกระแส และบริเวณรอบ ๆ หนองแห่งนั้นเกิดความเดือดร้อนและเสียหายไปเป็นจำนวนมาก พื้นโลกสะเทือนเกิดแผ่นดินไหวไปทั่ว เทวดาน้อยใหญ่ได้รับความเดือดร้อนไปทั้งสามภาพ

        ความเดือดร้อนทั้งหลายทราบไปถึงพระอินทร์ ซึ่งเป็นประมุขของเทวดา จึงเรียกเทวดาเข้าเฝ้าเล่าเรื่องราวให้ฟัง เมื่อทรงทราบโดยละเอียดแล้วจึงเสด็จจากดาวดึงส์ลงมายังโลกมนุษย์ที่เมืองหนองกระแส แล้วตรัสเป็นโองการให้นาคทั้งสองฝ่ายหยุดรบกัน ให้ถือว่าทั้งสองฝ่ายเสมอกัน ไม่มีใครแพ้ใครชนะ ให้หนองกระแสเกิดสันติสุขโดยด่วน แล้วให้พากันสร้างแม่น้ำคนละสายออกจากหนองกระแส ใครสร้างถึงทะเลก่อนจะให้ปลาบึกขึ้นไปอยู่ในแม่น้ำสายนั้นและเพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาทของพญานาคทั้งสองฝ่าย ให้เอาภูเขาดงพญาไฟเป็นเขตกั้นคนละฝ่าย ใครข้ามไปรุกรานราวี ขอให้ไฟจากภูเขาดงพญาไฟไหม้ฝ่ายนั้น
        เมื่อพระอินทร์ตรัสเป็นเทวราชโองการดังกล่าวแล้ว พญาศรีสุทโธ จึงพาบริวารไพร่พลอพยพออกจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรงไหนเป็นภูเขาขวางอยู่ แม่น้ำก็จะคดโค้งเป็นไปตามภูเขาเพราะพญาศรีสุทโธเป็นนาคใจร้อน แม่น้ำสายนี้เรียกว่า “แม่น้ำโขง” คำว่า “โขง” มาจากคำว่า “โค้ง”  หมายถึง  ไม่ตรง

        ส่วนพญาสุวรรณนาค เมื่อได้รับเทวราชโองการดังกล่าวจึงพาบริวารไพร่พลอพยพจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศใต้ พญาสุวรรณนาคเป็นนาคที่ใจเย็นพิถีพิถันและตรง การสร้างแม่น้ำจึงต้องทำให้ตรง แม่น้ำนี้เรียกว่า “แม่น้ำน่าน” เป็นแม่น้ำที่ตรงกว่าแม่น้ำทุกสายที่มี
        การสร้างแม่น้ำแข่งกันในครั้งนั้น ปรากฏว่าแม่น้ำโขงของพญาศรีสุทโธสร้างเสร็จก่อน จึงเป็นผู้ชนะและมีปลาบึกอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียวในโลกตามราชโองการของพระอินทร์

        เมื่อพญาศรีสุทโธสร้างแม่น้ำโขงเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงแผลงฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ยังดาวดึงส์ทูลขอต่อพระอินทร์ว่า ตัวเป็นเชื้อพญานาค จะอยู่บนโลกนานเกินไปก็ไม่ได้ จึงขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์เอาไว้ 3 แห่งจะโปรดให้ครอบครองอยู่ไหนแน่นอน
        พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่จึงอนุญาตให้มีช่องทางขึ้นลงของพญานาคเอาไว้ 3 แห่งคือ
  1. ที่ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์
  2. ที่หนองคันแท
  3. ที่พรหมประกายโลก (ที่คำ-ชะโนด)                                                                                                   แห่งที่ 1 และ 2 ให้เป็นทางลงสู่บาดาลของพญานาคเท่านั้น ส่วนแห่งที่ 3 ที่พรหมประกายโลก เป็นที่ ๆ พรหมเทวดาลงมากินดินจนหมดฤทธิ์กลายเป็นมนุษย์ ให้พญาศรีสุทโธไปตั้งบ้านครอบครองเฝ้าอยู่ ให้มีต้นชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ลักษณะต้นชะโนดให้เอาต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาลอย่างละเท่า ๆ กันผสมกัน ในเวลา 1 เดือน ทางจันทรคติข้างขึ้น 15 วัน ให้พญาศรีสุทโธและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์ เรียกชื่อว่า “เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ” และอีก 15 วัน ข้างแรมให้พญาศรีสุทโธและบริวารกลายร่างเป็นนาค เรียกชื่อว่า “พญานาคราชศรีสุทโธ” ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงกึ่งพุทธกาล นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ถอยหลังไปพี่น้องชาวบ้านม่วง บ้านเมืองไพร บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี จะได้พบเห็นชาวเมืองคำชะโนดทั้งผู้หญิง และผู้ชายไปเที่ยวงานบุญประจำปี หรือบุญมหาชาติ ที่ชาวบ้านเรียกว่า “บุญพะเวศ” อยู่บ่อยครั้ง แล้วก็จะเห็นผู้หญิงไปยืมเครื่องมือทอหูก (ฟืม) ไปทอผ้าอยู่เป็นประจำเจ้าพ่อพญาศรีสุทโธได้จัดให้มีการแข่งเรือ และประกวดชายงามที่เมืองชะโนด นายคำตา ทองสีเหลือง ซึ่งเป็นชาวบ้านวังทอง ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ภายหลังได้บวชอยู่ที่วัดศิริสุทโธ (วัดดอนตูม) ติดกับเมืองคำชะโนด และมรณภาพ เมื่อ พ.ศ. 2533 นายคำตาเป็นผู้ได้รับคัดเลือกจากเจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ ให้ไปประกวดชายงาม นายคำตาหายตัวไปประมาณ 6 ชั่วโมงจึงกลับมา และเล่าเรื่องเมืองคำชะโนดที่ได้เห็นมาให้ใครต่อใครฟังปัจจุบันนี้ “คำชะโนด” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอำเภอบ้านดุง เรือตรีอนิวรรตน์ พระโยมเยี่ยม อดีตนายอำเภอบ้านดุง ได้ชักชวนข้าราชการทุกฝ่ายตลอดทั้งตำรวจ อส. พ่อค้าและประชาชนร่วมกันสร้างสะพานทางเข้าเมืองคำชะโนดและปรับปรุงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เป็นสถานที่สักการะของชาวบ้านดุง และประชาชนทั่วไปในวโรกาสทางราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จังหวัดอุดรธานีได้คัดเลือกและนำน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์คำชะโนดไปร่วมในงานพระราชพิธี ณ มณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร เมื่อวันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2530ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 นายมังกร มาเรียง ปลัดอำเภอบ้านดุง (หัวหน้าฝ่ายกิจกรรมพิเศษ) ได้ชักชวนผู้มีจิตรศรัทธาร่วมกันจัดทำบุญทอดผ้าป่าสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อความมั่นคงแข็งแรงเข้าไปยังเมืองคำชะโนด และต่อมาได้มีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจนเป็นสะพานทางเดินที่สวยงาม
  4.        ปัจจุบันมีผู้คนจากต่างถิ่นที่ได้ทราบเรื่องความมหัศจรรย์ของเมืองชะโนดหรือเมืองพญานาคนี้ ได้เดินทางมาชมกันมากมาย และถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัดอุดรธานี ใครได้ไปเยี่ยมชมสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้โปรดอย่างลืมคำว่า “ไม่ เชื่อหย่าลบหลู่
  5. ผีจ้างหนัง 
            มีเรื่องแปลกแต่จริงเกิดขึ้นที่เมืองคำชะโนด อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะมีบุคคลที่สามารถอ้างอิงได้ 
            ได้รับคำบอกเล่าจาก “คุณธงชัย  แสงชัย”  เจ้าของบริษัทภาพยนตร์ “แจ่มจันทร์ภาพยนตร์”  ถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เหล่าพญานาคเมืองคำชะโนดมาจ้างหนังให้ไปฉายให้ดู 
            คุณธงชัย แสงชัย เล่าให้ฟังว่า... เรื่องเกิดขึ้นเมื่อราวเดือนมกราคม พ.ศ. 2532 ได้มีคนมาจ้างหนังของผมให้ไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 100 กิโลเมตร ค่าจ้างตกลงกันไว้ 5,000 บาท ซึ่งมีหนังฉาย 4 เรื่อง แต่มีสัญญาพิเศษอยู่ข้อหนึ่งคือ ให้ฉายแค่ตี 4 เท่านั้นห้ามฉายถึงสว่าง พอถึงตี 4 ให้รีบเก็บจอและข้าวของออกจากสถานที่ฉาย ซึ่งผมแปลกใจมากแต่ไม่ได้คิดอะไรในช่วงนั้น เพราะคิดว่าเป็นความต้องการของผู้ว่าจ้าง จึงไม่ได้ซักถามถึงเหตุผลที่ไม่เหมือนกับการฉายหนังตามสถานที่อื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ชาวบ้านมักจะให้ฉายให้ถึงสว่างทุกเจ้าไป หลังจากที่ผมส่งหน่วยฉายหนังไปฉายตามสัญญาที่ว่าจ้าง ในตอนเช้าพนักงานของผมจำนวน 7 คนซึ่งกลับมาจากฉายหนังเมื่อคืนก็มาเล่าให้ภรรยาผมฟังว่า “เมื่อคืนไปฉายหนังให้ผีดู” 
            เขาเล่าให้ฟังว่าหนังเริ่มฉายตั้งแต่ตอนสามทุ่ม ในตอนหัวค่ำไม่เห็นผู้คนก็ยังสงสัยว่าหายไปไหนหมด แต่พอสามทุ่มก็มีคนมาเป็นจำนวนมากและที่แปลกก็คือผู้หญิงซึ่งนุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำจะนั่งอีกข้างหนึ่งและคนทั้งหมดก็นั่งสงบเงียบเรียบร้อยเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวตัว ยิ่งกว่านั้นก็คือไม่ว่าเด็กเขาจะฉายหนังอะไรก็ไม่ส่งเสียงเอะอะเหมือนกับการฉายหนังกลางแปลงทั่ว ๆ ไป ฉายหนังบู้ก็เฉย ฉายหนังตลกก็เงียบ ไม่มีเสียงหัวเราะแม้แต่นิดเดียว 
            ที่แปลกกว่านั้นก็คืองานนี้ไม่มีร้านขายข้าวของจำพวกของกินของใช้ แม้แต่ร้านขายขนมหรือบุหรี่ก็ไม่มี พวกลูกน้องฉายหนังหิวบุหรี่ไปตาม ๆ กัน พอถึงตีสี่พวกคนดูก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด หายไปเร็วเหลือเกิน 
            ลูกน้องก็รีบเก็บข้าวของออกจากงาน พอขับรถมาถึงหมู่บ้านวังทองตอนเช้าก็แวะซื้อบุหรี่ ชาวบ้านถามว่าไปฉายหนังที่ไหนมา ลูกน้องก็บอกว่าฉายในหมู่บ้านวังทองเมื่อคืนนี้ไง  ชาวบ้านยืนยันว่าเมื่อคืนไม่มีหนังมาฉายในหมู่บ้านเลย เรื่องก็เกิดความสับสนวุ่นวายกันว่า เมื่อคืนไปฉายหนังที่ไหนมา ที่สุดก็สอบถามกันจนเข้าใจ ชาวบ้านก็สรุปว่า สงสัยไปฉายหนังในดงคำชะโนดซึ่งเป็นสถานที่ลี้ลับเชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค มีภูตผีปีศาจสิงสถิต อยู่ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านวังทอง 
            พวกลูกน้องเลยเชื่อว่าถูกผีจ้างให้ไปฉายหนังให้ดู อย่างที่ชาวบ้านว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมก็อยากพิสูจน์ความจริงจึงเดินทางไปที่บ้านวังทอง ผมไปที่ดงคำชะโนดซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านวังทองไปสักสามกิโลเมตร ผมแปลกใจมากเพราะดงไม้ที่ผมมองเห็นนั้นอยู่กลางทุ่งห่างจากตัวถนนแค่ครึ่งกิโล เป็นดงทึบอย่างว่าแต่รถยนต์จะเข้าไปข้างในเลย แม้แต่จะขึงตั้งจอหนังก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ 
            ผมสอบถามชาวบ้านแถวนั้น ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาในหมู่บ้านวังทองหรือหมู่บ้านใกล้เคียงมีการฉายหนังหรือไม่ ทุกคนก็ยืนว่าไม่มีหนังเข้ามาฉายเลยแต่สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่าหนังของผมเข้าไปฉายในดงชะโนดจริงก็คือ ตรงขอบถนนมีรอยรถยนต์แล่นลงไปในหลุมดินข้างทาง รอยรถแล่นผ่านเข้าไปในท้องนาซึ่งเป็นหลุมน้ำขัง และไม่น่าเชื่อว่ารถฉายหนังจะแล่นเข้าไปในดงคำชะโนดนั้นได้ 
            ด้วยความประหลาดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เอง คุณธงชัย แสงชัยเล่าต่อไปว่าเขาได้ไปนมัสการ “หลวงปู่คำตา สิริสุทโธ” เจ้าอาวาสวัดศิริสุทโธคำชะโนดซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้ ๆ ดงคำชะโนด ถามถึงเรื่องนี้ท่านก็เล่าให้ฟังว่า... 
            ดงคำชะโนดนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาแต่โบราณ เชื่อกันว่าบริเวณส่วนนี้เป็นเมืองพญานาค ในสมัยที่ท่านเป็นเด็ก ๆ ไปทำนาแถวนั้น และไปเล่นน้ำในบ่อแล้วหายไป พ่อแม่ตามหาอยู่เจ็ดวันจึงไปพบนอนหลับอยู่ในดงคำชะโนดนี้ ท่านรู้สึกเหมือนกับว่าได้เข้าไปในเมืองลึกลับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใต้ดิน หลังจากเหตุการณ์นั้นท่านก็เลยอุทิศตัวเองมาบวชเป็นพระตลอดมา 
            สำหรับเหตุการณ์ที่มีผู้จ้างหนังของคุณธงชัย แสงชัย ไปฉายนั้นหลวงปู่คำตาได้กล่าวว่าคงเป็นเพราะช่วงนั้นเป็นเทศกาลของบรรดาวิญญาณซึ่งอาศัยอยู่ในดงไม้นี้ จึงว่าจ้างให้หนังมาฉายฉลองเหมือนผู้คนเบื้องบน วิญญาณเหล่านี้ชาวอิสานเรียกว่า “ผีบังบด” 
            คุณธงชัยเล่าต่อว่า...ในขณะที่หลวงปู่คำตาเล่าเรื่องนี้ยังไม่จบก็ปรากฏว่ามีงูตัวหนึ่งสีดำสนิทน่ากลัวมาก เลื้อยเข้ามานอนขดอยู่ตรงหน้าท่าน ผมและภรรยาตกใจมากแต่หลวงปู่คำตาก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก คงจะเป็นเพราะวิญญาณของผู้อาศัยอยู่ดงไม้ไม่ต้องการให้ท่านเล่าหรือเปิดเผยอะไรต่อ จึงส่งงูตัวนี้มาเพื่อเตือนท่านจึงขอตัวไม่เปิดเผยรายละเอียด ซึ่งผมคิดว่าคงต้องมีอะไรมากในดงคำชะโนดนี้


                   หลวงปู่คำตา สิริสุทโธ 

            ประวัติของหลวงปู่คำตา สิริสุทโธ ท่านเกี่ยวข้องกับพญานาค โดยเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าปู่ศรีสุทโธหรือพญาศรีสุทโธ อมตะวิญญาณผู้ครองเมืองคำชะโนด ซึ่งเป็นเมืองพญานาค หลวงปู่คำตามรณภาพเมื่อ 15 สิงหาคม 2533 
            เมื่อหลวงปู่คำตาอายุได้ 17 -18 ปี ในวันทำบุญประเพณีเดือนหกของชาวบ้านวังทอง บ้านเกิดของท่านซึ่งอยู่ห่างจากป่าคำชะโนดไม่มากนัก ท่านกับเพื่อนของท่านพากันไปซักผ้าที่บ่อน้ำกลางดงคำชะโนด ไม่ได้ซักผ้าที่บ่อน้ำแต่ท่านเป็นคนตักน้ำให้เพื่อนซัก ขณะที่ท่านกำลังตักน้ำอยู่นั้นก็มองเห็นปลาไหลตัวใหญ่ขนาดกระป๋องนม ลักษณะตาแดงก่ำขนาดเท่าลูกปิงปองโผล่ขึ้นมาให้เห็น ท่านจึงเรียกเพื่อน ๆ ให้มาดู แต่ปลาไหลนั้นก็มุดน้ำลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้บ่อน้ำสั่นสะเทือนเป็นคลื่นใหญ่อย่างน่ากลัว หลวงปู่คำตา หรือนายคำตา ทองสีเหลือง ในขณะนั้นตกใจมากจึงรีบกลับเข้าหมู่บ้าน แล้วเล่าเรื่องให้ญาติพี่น้องฟังซึ่งทุกคนก็เห็นเป็นเรื่องแปลกและสั่งให้ระวังตัว
             ต่อมาอีกสองเดือน วันหนึ่งเวลาประมาณบ่ายโมง มีฝนตกลงมาตามฤดูกาล ชาวบ้านจึงพากันออกไปยกยอปลาในลำห้วยใกล้ ๆ หมู่บ้าน นายคำตาก็ออกไปกับเขาด้วย ขณะที่ยกยออยู่นั้นปรากฏว่ามีปลามาเข้ายอของท่านมากผิดปกติ และก็เกิดสิ่งประหลาดขึ้นมาคือ รู้สึกว่ามีปลาตัวใหญ่เข้ามาอยู่ในยอ นายคำตาดีใจรีบยกยอขึ้น แต่เมื่อยอพ้นน้ำ แทนที่จะเป็นปลากลับกลายเป็นเต้าปูนที่ใช้ใส่ปูนกินกับหมาก พอนายคำตายื่นมือลงไปจะหยิบดู เต้าปูนนั้นก็ดิ้นไปมาเหมือนปลาและดิ้นกระโดดลงน้ำหายไป นายคำตาตกใจมาก รีบกลับเข้าไปในหมู่บ้านเล่าให้ญาติพี่น้องฟังอีก 
            ต่อมาประมาณเดือน 9 ในเวลาพลบค่ำ ฝนได้ตกลงมาอย่างหนักนายคำตารู้สึกง่วงนอนจึงไม่ได้ไปร่วมวงรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวตามปกติ แต่มุดเข้ามุ้งนอน พองีบหลับไปก็ฝันว่า มีสาวหลายคนมาชวนไปเที่ยวงานบุญประเพณี ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นจากที่นอนเปิดมุ้งออกมาแล้วเดินลงบันไดเรือนไปโดยไม่รู้สึกตัว มุ่งหน้าฝ่าฝนจะไปยังลำห้วยที่เคยไปหาปลา ญาติพี่น้องเห็นท่าทางผิดปกติจึงรีบเดินตามแล้วฉุดลากตัวกลับมา แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกตัว จะเรียกหรือทำอย่างไรก็ไม่ยอมฟื้นคืนสติขึ้นมา
            นายคำตาเล่าให้ฟังว่าขณะที่หลับไปหลายชั่วโมงนั้นมีสาว ๆ ชวนไปเที่ยวโดยได้นำเขาไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งกำลังจัดพิธีแต่งงานอยู่ และตัวเขาก็คือเจ้าบ่าวที่จะเข้าพิธีแต่งงานนั้นกับเจ้าสาวสวยชาวบ้าน ขณะที่เขาจะเข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญตามประเพณีก็ได้สติคืนมาพอดี 
            เมื่ออายุ 20 ปี นายคำตาก็ได้บรรพชาอุปสมบทที่วัดบ้านวังทอง ซึ่งเป็นบ้านเกิด เรื่องผิดปกติต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเขาก็เงียบหายไป ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมารบกวนตลอดเวลาที่บวชเป็นภิกษุสงฆ์ 3 พรรษา ตอนที่บวชเป็นพระอยู่ชาวบ้านเรียกท่านว่า “อาจารย์” บวชอยู่ได้ 3 พรรษาก็สึกออกมาประกอบอาชีพอยู่ในหมู่บ้านวังทอง เหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นกับท่านอีก 
             กล่าวคือในเดือน 11 เวลากลางวันประมาณบ่ายสองโมง นายคำตาออกไปเกี่ยวข้าวในนาที่บ่อผักไหมซึ่งอยู่ห่างจากคำชะโนดประมาณ 200 เมตร เมื่อหยุดพักจากการเกี่ยวข้าวก็เดินไปที่ห้างนาหรือกระท่อมที่ปลูกไว้สำหรับพักและเป็นที่นอนเฝ้านา  พอเดินไปใกล้กระท่อมก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ในกระท่อมโดยหันหลังให้ เมื่อเธอผู้นั้นเหลียวหน้ามาก็เห็นเป็นคนแปลกหน้าไม่เคยเห็นมาก่อนอายุราว ๆ 25 ปี นึกถึงเรื่องแปลก ๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับตนในระยะก่อน ๆ ที่ผ่านมาทำให้รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที แต่ก็พยายามสะกดกั้นความกลัวไว้ เอ่ยถามผู้หญิงคนนั้นไปว่า
            “นางมาจากไหน จะมาหาใคร”  หญิงสาวยิ้มแล้วตอบว่า “มาตามหาอาจารย์คำตา เพราะเห็นพวกผู้หญิงเขาลือกันว่าเป็นผู้ชายสวยรูปหล่อ” 
            ทิดคำตาถามต่อไปว่า “บ้านนางอยู่ที่ไหนละ”  
            “อยู่ทุกหนทุกแห่งทั่ว ๆ ไป” ฝ่ายหญิงตอบ 
            พอได้ฟังดังนี้ ความกลัวยิ่งเพิ่มขึ้น จึงรีบตอบโกหกไปว่า 
            “ข้ารู้จักอาจารย์คำตาและสนิทสนมกันดี บ้านอยู่ใกล้กันด้วยจะขออาสาไปบอกเขานะ” แล้วทิดคำตาก็หาทางเลี่ยงไปโดยพูดว่า 
            “ขอไปปัสสาวะสักประเดี๋ยว” 
            กล่าวจบก็รีบเดินหนี กลับเข้าไปในนาแล้วเล่าให้พี่เขยฟัง พี่เขยและญาติ ๆ จึงรีบออกมาดูที่กระท่อมแต่ไม่พบหญิงคนนั้น เนื่องจากมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นกับอาจารย์คำตาบ่อยครั้งพวกญาติพี่น้องจึงรู้สึกห่วงกลัวจะเกิดอันตรายจากสิ่งที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอาจถึงชีวิตได้ จึงปรึกษาหารือกันเพื่อหาวิธีป้องกันและช่วยเหลือมิให้เป็นอันตราย 
            ขั้นแรก ญาติพี่น้องตกลังกันให้เปลี่ยนชื่อเสีย เพื่อมิให้สิ่งประหลายนั้นจำได้ โดยเปลี่ยนจาก “คำตา” เป็น “สุภาพ” ให้ทุกคนเรียกชื่อใหม่อย่าเรียกชื่อเก่า 
            ขั้นที่สอง จัดพิธีแต่งงานหลอก ๆ กับญาติผู้หญิงชื่อนางสาวทองคำ สองพาลี 
            ขั้นที่สาม แต่งงานแล้วก็ย้ายหนีออกจากบ้านวังทองไปอยู่วัดบ้านหนองกา โดยไปขออาศัยอยู่กับท่านพระครูคำ หรือพระครูสุภารโสภณเป็นเวลา 7 วัน แล้วจึงย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านวังทองตามเดิม
    เท่านั้นยังไม่ไว้วางใจ ต่อมาอีกสองเดือนญาติพี่น้องได้ไปสู่ขอสาวบ้านเดียวกัน จัดพิธีแต่งงานจริง ๆ อีกครั้งหนึ่ง ชีวิตการครองเรือนของอาจารย์คำตาหรืออาจารย์สุภาพ ดำเนินไปอย่างมีความสุข จนกระทั่งภรรยาตั้งท้องและคลอดลูกชายคนแรกออกมาหลังจากนั้นอีกไม่นานก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นอีก                     บวชครั้งที่ 
            พอถึงกำหนดวันขึ้น 12 ค่ำ บรรดาลูกหลานและญาติพี่น้องก็ได้นำอาจารย์คำตาไปมอบนาคที่วัดบ้านวังทอง และเข้าสู่พิธีบรรพชา อุปสมบทในวันขึ้น 15 ค่ำ มีประชาชนจากบ้านใกล้ไกลมาร่วมพิธี และร่วมกันถวายปัจจัยเป็นอย่างมาก ถือได้ว่าเป็นงานบวชที่ยิ่งใหญ่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
            อาจารย์คำตาบวชครั้งนี้เมื่ออายุมากแล้ว บรรดาญาติโยมจึงเรียกท่านว่า หลวงปู่คำตา มาจนมรณภาพ 
            หลวงปู่คำตามีสมญาทางพระว่า “สิริสุทโธ” พระจะไม่ใช้นามสกุลเดิม แต่จะเรียกนามสกุลสมญาต่อท้ายชื่อจึงต้องเรียกท่านว่า “หลวงปู่คำตา สิริสุทโธ” 
            หลวงปู่คำตา ได้เล่าให้ญาติโยมที่ไปหาท่านฟังเสมอว่าเมื่อท่านเข้ามาบวชอยู่ในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว ท่านก็ฝันถึงเจ้าปู่ศรีสุทโธอยู่เสมอ เจ้าปู่ได้บอกกับท่านว่าหลวงปู่ได้มาคอยดูแลและปกป้องรักษาความปลอดภัย อันตรายให้ตลอดเวลาโดยเฉพาะกุฏิที่หลวงปู่คำตาพักอยู่เป็นประจำนั้น ท่านได้จัดที่นั่งที่นอนสำหรับเจ้าปู่ศรีสุทโธไว้เป็นพิเศษ 
            หลวงปู่คำตากล่าวว่า คืนหนึ่งในระหว่างกลางพรรษาปี พ.ศ. 2530 ได้ฝันไปว่าเจ้าปู่ศรีสุทโธมาที่กุฏิแล้วบอกว่า พ่อจะพ่นพิษใส่ตัวลูกเพื่อให้เกิดความขลังในตัวลูก (เจ้าปู่ศรีสุทโธเรียกหลวงปู่คำตาว่าลูก) พูดแล้วก็พ่นพิษออกมาเป็นน้ำเปียกทั่วตัว เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นรีบลูบคลำตามร่างกายคิดว่าร่างจะเปียกน้ำเหมือนในฝันแต่ก็แห้งเป็นปกติดีทุกอย่าง
            ท่านเล่าต่อไปว่าคาถาอาคมที่ท่านให้ผูกข้อมือและประพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยมนั้นได้มาจากเจ้าปู่ศรีสุทโธซึ่งมาบอกในฝัน ท่านยอมรับว่าเดิมนั้นสมองไม่ค่อยดีจำอะไรไม่ค่อยได้ ครั้งพอกลับมาบวชอีกครั้งรู้สึกว่าความจำดีมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเจ้าปู่บอกหรือสอนคาถาอาคมอะไรให้ก็จะจดจำได้แม่นยำเป็นพิเศษ 
            หลวงปู่คำตาได้เล่าอีกว่าในระหว่างพรรษาเดียวกันนี้ ท่านได้ฝันไปอีกว่า เจ้าปู่ศรีสุทโธได้มาเข้าฝันบอกว่า ต่อไปนี้พ่อจะมอบทรัยพ์สมบัติทั้งหมดในเมืองคำชะโนดให้ลูกดูแลและปกครองคนทั้งหมดในเมืองนี้ แล้วเจ้าปู่ได้นำหลวงปู่คำตาเข้าไปในเมืองคำชะโนดไปดูแลทรัพย์สินที่มีทั้งหมดในเมืองคำชะโนด เสร็จแล้วพาขึ้นไปบนศาลาหลังใหญ่ ซึ่งมีคนนั่งรออยู่เป็นจำนวนมากประกาศให้ทุกคนได้ทราบว่า 
            “นี่คือลูกชายของเจ้าปู่ ต่อไปนี้ทรัพย์สินและการปกครองทั้งหมดในเมืองคำชะโนดนี้จะยกมอบให้ลูกชาย ขอให้ทุกคนเชื่อฟังคำสั่ง และอยู่ในความปกครองของลูกชายตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” 
            เจ้าปู่ศรีสุทโธได้ให้ความรักความเมตตาหลวงปู่คำตา เพราะท่านเป็นคนดีจึงได้รับความไว้วางใจยินดีให้เป็นบุตรบุญธรรม แม้จะอยู่กันคนละภพแต่เจ้าปู่ศรีสุทโธก็เป็นอมตะวิญญาณที่เป็นเจ้าเมืองพญานาคอยู่ใต้บาดาล ซึ่งเชื่อกันว่าป่าคำชะโนดแห่งนี้คงเป็นที่ตั้งของบ้านเมืองในอดีต จึงมีสรรพวิญญาณอาศัยอยู่กันมากมาย 
            เมื่อหลวงปู่คำตาบวชและพำนักอยู่วัดวังทองได้ระยะหนึ่งก็ย้ายมาตั้งสำนักสงฆ์เพื่อปฏิบัติธรรมที่ใกล้ ๆ ป่าคำชะโนดโดยใช้ชื่อสำนักสงฆ์ของท่านว่า “สำนักสงฆ์สิริสุทโธ” ท่านได้พัฒนาบุกเบิกตั้งแต่บริเวณนี้เป็นป่าดงดิบจนมีความเจริญได้ตั้งเป็นวัดชื่อ “วัดศิริสุทโธคำชะโนด” มาจนถึงปัจจุบันนี้ 
            ในปี พ.ศ. 2533 เดือน  ขึ้น 8 ค่ำ เวลาประมาณสองทุ่มเศษพระเณรที่อยู่ในวัดศิริสุทโธคำชะโนด ได้ยินเสียงต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งหักโค่นลงมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสียงดังมาจากป่าคำชะโนดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัด ตื่นเช้าวันใหม่พระเณรพากันเข้าไปดูในดงคำชะโนดยังจุดที่ได้ยินเสียงแต่ไม่พบอะไรผิดปกติ ไม่มีต้นไม้หักโค่น เข้าไปดูถึงสามครั้งจนแน่ใจ
            ต่อมาอีก 7 วัน คือเดือน 6 ขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันทำบุญประเพณีบุญบั้งไฟซึ่งชาวบ้านนำเอาบั้งไฟมาทำพิธีฉลองและจุดถวายเจ้าปู่ศรีสุทโธเป็นประจำทุกปี นับตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่คำตาก็ไม่เบิกบานเหมือนปกติทุกวัน ท่านจะจำวัดตั้งแต่หัวค่ำ แม้จะมีญาติโยมมาขอคุยด้วยท่านก็ไม่ต้อนรับใครเลย
            ระยะต่อมาร่างกายของหลวงปู่คำตาก็ทรุดโทรมลงโดยลำดับ แม้จะฉันยาอะไรอาการอาพาธก็ไม่ทุเลา อาหารก็ไม่สนใจฉัน จนกระทั่งถึงเดือน 8 ขึ้น 8 ค่ำ ตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม 2533 หลวงปู่คำตา สิริสุทโธ ก็ถึงมรณภาพเมื่อเวลา 03:05 น. ยังความเศร้าโศรกเสียใจให้แต่ญาติโยมเป็นยิ่งนัก เมื้อสิ้นหลวงปู่คำตา สิริสุทโธ แล้ว หลวงปู่จอม ยันตะสีโล  รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศิริสุทโธคำชะโนดสืบต่อมา
            มรณภาพไปแล้ววิญญาณของหลวงปู่คำตาก็ยังมาเข้าฝันหลวงปู่จอมบ้าง ญาติโยมชาวบ้านบ้าง เหมือนท่านยังห่วงใยทุกคนอยู่ไม่เสื่อมคลาย บางครั้งหลวงปู่คำตาก็นิมิตให้หลวงปู่จอมเห็นบัลลังก์ที่เจ้าปู่ศรีสุทโธได้สร้างไว้ให้หลวงปู่คำตา พร้อมกับถามว่าบัลลังก์ของท่านสวยไหม หลวงปู่จอมก็ตอบไปว่าสวยดีและแสดงความชื่นชมยินดีกับท่านด้วย บัลลังก์นั้นมีรูปร่างลักษณะเหมือนกับธรรมาสน์พระแต่ใหญ่มาก 
            ในนิมิตหลวงปู่คำตายังได้ชักชวนหลวงปู่จอมว่า บัลลังก์สร้างเสร็จแล้วจะพาหลวงปู่จอมลงไปดู แต่หลวงปู่จอมตอบท่านไปว่า เพียงมานิมิตให้เห็นก็พอใจและภูมิใจแล้วอย่าต้องลำบากพาท่านไปดูเลย 
            หลวงปู่จอม ยันตสีโล เป็นผู้ใกล้ชิดกับหลวงปู่คำตา สิริสุทโธ มาตลอด ทั้งได้ร่วมกันสร้างสำนักสงฆ์จนกลายมาเป็นวัดศิริสุทโธคำชะโนดด้วย มีระยะหนึ่งหลวงปู่จอมได้ออกจากวัดศิริสุทโธคำชะโนดไปอยู่ที่อำเภอบ้านดุงเป็นเวลา 9 เดือน เจ้าปู่ศรีสุทโธไปเข้าฝันท่านว่าให้ท่านกลับไปอยู่ที่วัดศิริสุทโธคำชะโนดเหมือนเดิมเพราะได้ร่วมสร้างวัดมา ท่านให้มาดูแลวัดนี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ให้ดูแลพระเณรที่อยู่ในวัดศิริสุทโธด้วย ในที่สุดหลวงปู่จอมก็ตัดสินใจกลับมาอยู่ที่วัดศิริสุทโธคำชะโนดกับหลวงปู่คำตาตามเดิม
            เจ้าปู่ศรีสุทโธบอกหลวงปู่จอมในนิมิตว่า ถ้ากลับไปอยู่วัดศิริสุทโธ เจ้าปู่จะมาเอาหลวงปู่คำตาไปอยู่แทนท่านเจ้าปู่ที่เมืองใต้บาดาล แล้วจะมอบเมืองให้ทั้งจะให้หลวงปู่คำตาเป็นลูกชายด้วย 
            หลวงปู่จอมกลับมาอยู่วัดศิริสุทโธคำชะโนด เมื่อเดือน 4 ขึ้น 14 ค่ำ ต่อมาในเดือน 5 แรม 12 ค่ำ หลวงปู่คำตาได้นิมิตถึงเจ้าปู่ศรีสุทโธ เจ้าปู่บอกในนิมิตว่า “ลูกเอ๋ยฟังพ่อ พ่อจะบอกลูกอีกเป็นครั้งสุดท้าย ถึงเวลาแล้วที่พ่อจะมาเอาลูกไปอยู่แทนบัลลังก์ที่เมืองบาดาลและจะมอบเมืองให้ครอบครองแทน” ซึ่งหลวงปู่คำตาก็ตอบรับไม่ขัดข้องอีก จากนั้นเจ้าปู่ก็ลงไปเมืองใต้บาดาลตามเดิม ต่อมาถึงเดือน 8 ขึ้น 8 ค่ำ ตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม 2533 หลวงปู่คำตา สิริสุทโธ ก็มรณภาพ 




    เหตุการณ์ประหลาด 9 กันยายน 2548
            เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2548 เวลาประมาณ 04:20 น. ภิกษุ 4 รูป คือ พระภิกษุจันทร์เพชร สวณฺโณ  พระภิกษุศักดิ์ชัย ขนฺติสมฺปนฺโน  พระภิกษุน้อย สุนทรโร และพระภิกษุประมวล อินฺทปญฺโญ ได้เดินมาที่ศาลาการเปรียญ ตอนที่มาถึงศาลายังไม่ได้เปิดไฟ พระภิกษุรูปหนึ่งเห็นสิ่งผิดปกติ มีรอยอะไรสักอย่างอยู่รอบนอกศาลาการเปรียญ พระภิกษุรูปหนึ่งจึงได้เข้าไปในศาลาการเปรียญแล้วเปิดไฟ เพื่อจะดูว่าเป็นรอยอะไรกันแน่ เปรียบเทียบแล้วคิดว่าน่าจะเป็นรอยพญานาค ตอนแรกมีพระภิกษุ 2 รูปยืนคอยอยู่ด้านนอกศาลา ก็เห็นปรากฏการณ์มีแสงสว่างเกิดขึ้นตรงบริเวณหน้าศาลาการเปรียญทางด้านทิศตะวันตก มีลักษณะคล้ายลำแสงขึ้นจากพื้นศาลา มีสีเขียวออกม่วงเข้ม คล้ายกับแฟล็ชกล้องถ่ายรูป แว็บขึ้นมาแล้วก็หายไป พอไฟที่เปิดติดปรากฏว่ามีรอยรอบศาลา พระภิกษุรูปที่ 4 ก็เข้ามาดูรอยอย่างพิถีพิถันเห็นว่าเป็นรอยที่แปลกและยังใหม่ๆอยู่ จึงสันนิษฐานว่าเป็นรอยพญานาคแน่นอน พอสายประมาณ 7:00 น. มีชาวบ้านมาถวายภัตตาหารเช้าที่วัด ก็เห็นรอยประหลาดและสันนิษฐานว่าเป็นรอยพญานาคเช่นกัน ชาวบ้านก็บอกต่อ ๆ กันทำให้มีผู้คนมามุงดูมากพอสมควร 

            เมื่อเวลา 11:20 น. ได้มีชายคนหนึ่งมาชมรอยพญานาคและได้ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพรอยดังกล่าว ปรากฏว่าในหน้าจอโทรศัพท์เห็นเป็นตัวคล้ายพญานาคจริง ๆ มีสีเขียวเห็นทั้งลำตัว และหัว เห็นเป็นสองหัวเวียนเวียนกันอยู่ เอาหัวออก 2 ข้าง ก็มีคนมามุงดูภาพพญานาคในมือถือของชายคนดังกล่าวจำนวนมาก แต่ไม่นานแบตเตอร์รี่โทรศัพท์ก็หมดเขาจึงกลับบ้านและคิดว่าจะเอาภาพในมือถือนั้นไปล้างอัดเป็นภาพมาเก็บไว้  หลังจากชาร์ทแบตเตอร์รี่เสร็จก็เปิดดูภาพในมือถือปรากฏว่าไม่มีรูปพญานาคให้เห็นอีกเลย อาจเป็นเพราะว่าไม่ได้สักการบูชาก่อนจะทำการถ่ายภาพก็เป็นได้
    อีกประการหนึ่งภาพที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์มือถืออาจเป็นเพราะเจ้าปู่ศรีสุทโธแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ชนทั้งหลายทราบว่าเป็นรอยพญานาคแน่นอน ชายคนนั้นได้กลับมาที่วัดอีกครั้งเพื่อทำการขอขมาและเล่าเหตุการณ์ให้ชาวบ้านฟังอย่างที่ตนได้ประสบมา
                                                    


    ศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธ 
            หลังจากที่มีการตั้งกิ่งอำเภอในปี พ.ศ. 2502 ได้มีผู้คนเข้ามาลงหลักปักฐานทำมาหากินค้าขายประกอบอาชีพต่าง ๆ ทำให้ความเจริญมากขึ้นตาม ปลัดกิ่งอำเภอคนแรกคือ นายสงวน เพชรวิเศษ ต่อมาผู้มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอคือ นายกษิณ  ชูพันธ์ ช่วงนั้นมีการบริหารปกครองบ้านเมืองเกิดความติดขัดวุ่นวาย กล่าวคือมีข้าราชการทะเลาะเบาะแว้ง มีปากเสียงกันอยู่เรื่อยมา จนถึงสมัยนายอำเภอจิรพล วีระไวยทยะ ช่วงปี พ.ศ. 2513 ก็มีเหตุการณ์ที่ข้าราชการเกิดความขัดแย้งกันอย่างหนัก เกิดความรุ่มร้อนของบ้านเมืองประชาชนอยู่อย่างไม่ร่มเย็นเป็นสุข
            นายอำเภอจิรพล จึงคิดหาทางแก้ปัญหา โดยหาผู้รู้ทางไสยศาสตร์หมอดูจากกรุงเทพฯ มานั่งดูเหตุการณ์บ้านเมืองปรากฏว่าเหตุที่เกิดความรุ่มร้อนของบ้านเมืองนั้น เกิดจากถนนที่วิ่งเข้าสู่อำเภอมาจากหนองเม็กสู่บ้านดุงนั้น พุ่งตรงมาถึงหน้าที่ว่าการอำเภอเป็นลักษณะเมืองที่ถูกศรปักอก ผู้รู้จึงแนะนำให้แก้ไขโดยทำถนนแยกออกเป็น 2 ทาง มีลักษณะเป็นหากลูกศรให้พุ่งกลับคืนออกไปที่เห็นในปัจจุบัน และให้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตั้งไว้ด้านหน้าเพื่อปกปักษ์รักษาขวางทางเอาไว้กันภยันตราย
            นายอำเภอจึงปรึกษาข้าราชการ ขณะนั้นมีนายสวาท บุรีเพีย เป็นศึกษาธิการอำเภอ ในสมัยนั้นแนะนำว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวอำเภอบ้านดุงให้ความเคารพนับถือ ก็คือเจ้าปู่ศรีสุทโธ ที่คำชะโนดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีองค์เจ้าปู่ศรีสุทโธประทับอยู่
            นายอำเภอจึงเกิดความคิดร่วมกันว่าจะสร้างศาลหลักเมืองและรูปเหมือนองค์เจ้าปู่ศรีสุทโธพร้อมอัญเชิญท่านมาสถิตไว้สักการะ โดยมอบให้ อ.นิรันดร์ พลพินิจ ได้ไปสอบถามผู้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าปู่ศรีสุทโธ ทราบว่านายคำตา ที่เจ้าปู่ศรีสุทโธพาไปประกวดชายงามที่เมืองบาดาล  จึงได้เชิญนายคำตามาให้รายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะของเจ้าปู่ศรีสุทโธ และให้ อ.อนันต์ ทองแสน ครูผู้ที่มีฝีมือทางศิลปะเขียนภาพลักษณะของเจ้าปู่ตามคำบอกเล่าของนายคำตาซึ่งนายคำตาเล่าถึงเหตุการณ์วันนั้นพร้อมบอกท่าทางลักษณะว่า เจ้าปู่ศรีสุทโธมีหน้าตาคมคาย รูปร่างสูงใหญ่ผมสั้น ผิวขาว พูดเพราะ มีศิลธรรม มีเมตตา สวมเสื้อแขนยาวสีขาว นุ่งโจงกระเบนสีเขียวเรื่อ ๆ ขณะที่เห็นท่านไม่ได้สวมรองเท้า  เมื่อได้ภาพร่างแล้วนายอำเภอก็ถามถึงว่าแล้วใครจะเป็นคนปั้น อ.สวาท บุรีเพีย เสนอว่าท่านมีเพื่อนคนหนึ่งเคยเป็นพราหมร์หลวงอยู่กรุงเทพฯ มาหลายปี และมีฝีมือเชิงช่างทางงานปั้นรูปเหมือน คือพราหมณ์เต็ง กำเนิดมะไฟ(ผู้ที่มีภูมิรู้ทางพิธีพราหมณ์ ประกอบพิธีบวงสรวงศาลหลักเมืองมาตลอดผลงาน รูปปั้น ร.1 ร.5 หน้าที่ว่าการอำเภอปัจจุบัน)
            ปลายปี พ.ศ. 2513 จึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างศาลหลักเมือง ได้ช่างก่อสร้างจากเมืองชลบุรี ร่วมกับพี่น้องประชาชน ข้าราชการ ผู้นำช่างก่อสร้างสมัยนั้นคือ คุณพ่อวีระ จิรเมธากร ช่างผัด ช่างเส็ง
    ช่างวารินทร์ ช่างจำลอง แสนศรี เฮียแจ๋ว นำไม้แก่นคูณมากลึงเป็นหลักเมือง และมีผู้นำหินมาถมพร้อมทั้งก้อนศิลาแลง คือ นายทนงค์ศักดิ์ ราชกิจจำนงค์ ป้ายศาลหลักเมืองราคา 2,000 บาท
            เมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 4 พ.ศ. 2514 ได้มีการอัญเชิญเจ้าปู่ศรีสุทโธ มาสถิตเพื่อเป็นหลักเมือง ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายอำเภอให้ไปอัญเชิญคือ รอ.สุรพล ผิวรัตน์ ปลัดป้องกัน ซึ่งการไปสมัยนั้นลำบากมาก เพราะถนนยังเป็นทางเกวียน และยังต้องระวังผู้ก่อการร้าย
            เมื่ออัญเชิญเจ้าปู่ศรีสุทโธมาถึงก็ได้มีการเฉลิมฉลองสมโภชน์อยู่ 5 วัน 5 คืน โดยมีผู้ประกอบพิธีกรรมคือคุณพ่อสี หล้าสา (ตู้กุมภวา) เป็นจำในพิธีครั้งนี้ จึงได้มีศาลหลักเมือง หรือศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธ คู่บ้านคู่เมืองปกปักษ์รักษาบ้านเมืองให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขมาจนถึงปัจจุบัน
            หลังจากการสร้างศาลครั้งนั้นก็ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ ครั้งที่ 2 เป็นการบูรณะทาสีซ่อมแซม ขุดสระหลังศาลหลักเมือง เพื่อเป็นแหล่งน้ำไว้สำหรับดับอัคคีภัย และมีการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ เป็นการรื้อถอน และสร้างศาลหลังใหม่ขึ้นในสมัยนายอำเภอวิเชียร พุฒิวิญญู เมื่อปลายปี พ.ศ.2542 โดยมีคณะกรรมการศาลหลักเมือง พี่น้องประชาชน พ่อค้า ข้าราชการ ที่มีความศรัทธาในองค์เจ้าปู่ศรีสุทโธ ซึ่งรูปปั้นและตัวศาลได้ออกแบบจากนิมิตคำบอกเล่าของพ่อพราหมณ์บุญเต็ง กำเนิดมะไฟ โดยมียอดศาลเป็นพานบายศรี และมีรูปปั้นองค์เจ้าปู่ศรีสุทโธในร่างสุทโธนาคา ไว้หน้าศาลเป็นลานพญานาค จนแล้วเสร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2544
            ในช่วงนายอดุล จันทนปุ่ม เป็นนายอำเภอบ้านดุง คณะกรรมการศาลหลักเมืองพร้อมพี่น้องประชาชน ได้เฉลิมฉลองบวงสรวงศาลหลักเมืองในวันที่ 12 – 14 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นศาลหลักเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ ตั้งเด่นเป็นสง่ารับขวัญผู้มาเยือน ปกปักษ์รักษาพี่น้องประชาชนคนบ้านดุงและคนทั่วไปสืบชั่วลูกชั่วหลานมาจนทุกวันนี้
            และช่วงเดือนเมษายนของทุก ๆ ปี ชาวเมืองบ้านดุงจะจัดพิธีบวงสรวงศาลหลักเมือง จนกลายเป็นประเพณี พร้อมทีการแสดง แสง เสียง ตำนานนาคาคำชะโนด เพื่อเป็นการบอกเล่าเรื่องราวตำนานความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เจ้าปู่ศรีสุทโธ ให้ลูกหลานและผู้มาเยือนบ้านดุงได้เล่าขานถึงตำนานเมืองคำชะโนด และเจ้าปู่ศรีสุทโธ ตราบนานเท่านาน



               ที่มา http://kamchanod.thport.com/7sanjao.html

ความคิดเห็น

  1. นี่เป็น Blocแรกในชีวิตครับ ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และก็เชิญแนะนำได้ตามสะดวกครับผม

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ20 เมษายน 2560 เวลา 06:45

      ขอบคุณมากๆ ค่ะ

      ลบ

แสดงความคิดเห็น